เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นก้าวล้ำไปไกลจนอาจจะเรียกได้ว่าเหนือจินตนาการ ช่วงที่ผ่านมามีสองเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงและได้รับการพัฒนาให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น นั่นคือ Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) ความคล้ายคลึงกันของ “ความจริง” ทั้งสองแบบคือการเป็น “โลกเสมือน” ให้กับผู้ใช้งานแต่ลักษณะและวิธีการทำงานนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้เราจึงขอมาไขข้อข้องใจว่าเทคโนโลยีทั้งสองแบบนั้นเป็นอย่างไร และจะเอื้อประโยชน์ให้กับชีวิตของเราในอนาคตได้อย่างไรบ้าง



VIRTUAL REALITY (VR)

เทคโนโลยีที่จำลองสภาพแวดล้อมเสมือนหรือจำลองสถานที่ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพื่อผู้ใช้งานสามารถเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นได้แบบ 360 องศา โดยตัดขาดผู้ใช้งานออกจากโลกของความเป็นจริง พูดง่ายๆ ก็คือ VR จะเป็นผู้พาเราไปสู่อีกโลกหนึ่งผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 4 ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน การสัมผัส หรือแม้กระทั่งการรับรู้กลิ่น โดยเราสามารถเข้าไปสู่โลกของ VR ได้ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมาพิเศษอย่าง แว่นตา VR Headset รวมทั้งอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาเพื่อให้การเข้าถึงโลกเสมือนนั้นดูสมจริงมากขึ้น เช่น เครื่องสร้างแรงสั่นสะเทือนที่ใช้คู่กับแว่นตา VR ที่กำลังแสดงภาพเครื่องรถไฟเหาะจำลอง เป็นต้น


AUGMENTED REALITY (AR)

            เทคโนโลยีที่ผสานโลกเสมือน (Virtual World) เพิ่มเข้าไปในโลกจริง (Physical World) เพื่อทำให้เกิดการกลมกลืนกันมากที่สุดจนแยกไม่ออก โดยมีหลักการทำงานคือใช้อุปกรณ์ดิจิทัลที่่มีเซ็นเซอร์ในการตรวจจับภาพ เสียง การสัมผัส หรือการรับกลิ่น เช่น สมาร์ทโฟน แว่นตาอัจฉริยะ แท็บเล็ต ฯลฯ จากนั้นอุปกรณ์จะประมวลผลแล้วสร้างภาพ 3 มิติขึ้นมาตามเงื่อนไขที่ได้รับ โดยวัตถุเสมือนนี้อาจเป็นได้ทั้งภาพ วิดีโอ หรือเสียง ที่ประมวลผลมาจากคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน

ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยี AR เช่น การใช้แอปพลิเคชั่น TikTok หรือ Instagram ที่สามารถสร้างวิดีโอพร้อมใส่เอฟเฟกต์ลูกเล่นและฟิลเตอร์ต่างๆ รวมไปถึงแอปพลิเคชั่น Snapchat ที่มีการใช้กล้องสมาร์ทโฟนร่วมกับ AR เพื่อสร้างฟิลเตอร์ตกแต่งใบหน้า หรือเปลี่ยนเอฟเฟ็กต์ภาพให้เป็นแบบการ์ตูน

แหล่งข่าว : https://www.krungsri.com/th/campaigns/virtual-reality-augmented-reality